วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วิธีการรักษา "โรคหูด"

           ด้วยโครงสร้างของเชื้อเอชพีวี (HPV) ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่ทำให้เชื้อนั้นไม่สามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงของสิ่งแวดล้อมที่เชื้ออาศัยอยู่ได้ แพทย์จึงสามารถกำจัดเชื้อนี้ได้ด้วยการใช้ความร้อนจัด ความเย็นจัด หรือใช้ยาเคมีบำบัดบางชนิด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหูดที่มีขนาดเล็กย่อมรักษาได้ง่ายกว่า โดยพบว่าถ้าหูด
มีขนาดเล็กกว่า 1 ตารางเซนติเมตรก็มักจะรักษาด้วยยาได้สำเร็จแต่ถ้าหูดมีขนาดใหญ่กว่านั้นก็อาจจะต้องเลือกใช้วิธีอื่นในการรักษาแทน
           ส่วนประสิทธิภาพในการรักษาแต่ละวิธีก็แตกต่างกันไปและ ทุกวิธีก็มีโอกาสเกิดซ้ำขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกหลังสิ้นสุดการรักษา เพราะพบว่ามีผู้ป่วยมากกว่า 50-70% ที่ได้รับการรักษาจนหายแล้วกลับมาเป็นซ้ำอีกภายหลังหนึ่งปี ทั้งมาจากการติดเชื้อซ้ำใหม่หรือจากการกลับมาเป็นซ้ำจากเชื้อเดิมที่ยังคงเหลืออยู่ในบริเวณเดิม แต่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงไม่ได้รับการรักษาให้หมดไปจากการรักษาในครั้งแรก และโดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ซึ่งจะดื้อต่อการรักษาและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูง แพทย์อาจให้การรักษาโดยใช้วิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้

-ทาด้วยยาโพโดฟิลลิน (Podophyllin) ชนิด 25% 

                              http://frynn.com/wp-content/uploads/2016/03/
ภาพที่ 6 ยาโพโดฟิลลิน (Podophyllin) ชนิด 25% 
ที่มา : ชลธิรศน์ ศรีเกษตรสรากุล. (2557)

          แต่ต้องระวังไม่ให้ถูกเนื้อดี โดยให้ใช้วาสลีนทาปิดเนื้อดีโดยรอบเอาไว้ก่อน หลังจากทายาประมาณ 4-6 ชั่วโมงแล้วให้ล้างออก และต้องทาซ้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งจนกว่ารอยโรคจะหาย ซึ่งมักจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับขนาดของรอยโรค ตัวยานี้จะมีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ แต่ก็มีผลข้างเคียงคือ อาจทำให้ผิวระหนังเกิดการระคายเคืองหรือแสบบริเวณที่ทายาได้ แต่ถ้ารักษาด้วยวิธีนี้เกิน 2 เดือนแล้วยังไม่หายควรเปลี่ยนไปใช้วิธีการรักษาแบบอื่นแทน (ยานี้ห้ามใช้ในหูดหงอนไก่ที่ขึ้นบริเวณปากมดลูกหรือภายในช่องคลอดและห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ การรักษาด้วยวิธีนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำประมาณ 20-35%

-ทาด้วยกรดไตรคลอโรอะซิติก หรือ ทีซีเอ(Trichloroacetic Acid – TCA) ชนิด 50-70% 

         โดยไม่ต้องล้างออก และระวังอย่าให้ถูกผิวหนังที่ดี หลังจากทายาประมาณ 1 ชั่วโมงไม่ควรให้บริเวณที่ทายาโดนน้ำ และต้องรักษาซ้ำทุก 2 สัปดาห์จนกว่ารอยโรคจะหมดไป ตัวยานี้จะมีฤทธิ์ทำให้โปรตีนในเซลล์เสื่อมสภาพเป็นเซลล์ตาย ทำให้หูดที่มีก้านหลุดออกไปภายใน 2-3 วัน จึงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการแสบและระคายเคืองตรงรอยโรค หรือเป็นแผลมีเลือดออกได้ ถ้ารักษาด้วยวิธีนี้ติดต่อกันเกิน 6 ครั้งแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาด้วยวิธีอื่น (วิธีนี้สามารถใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ และการรักษาด้วยวิธีนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำประมาณ 35%

-ทายาด้วยครีมอิมิควิโมด (Imiquimod cream) ชนิด 5% 

                                            ยารักษาหูดหงอนไก่
ภาพที่ 7 ยาครีมอิมิควิโมด
ที่มา : ชลธิรศน์ ศรีเกษตรสรากุล. (2557)

            เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้กำจัดเชื้อเอชพีวี (HPV) ออกไป โดยให้ทายานี้วันเว้นวันในช่วงก่อนเข้านอน ติดต่อกันเป็นเวลา 16 สัปดาห์ เป็นวิธีรักษาในหูดหงอนไก่ชนิดราบที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณเยื่อเมือก ยาทานี้มีราคาแพง แต่ผู้ป่วยสามารถนำกลับมาทาเองที่บ้านได้ (ยานี้ห้ามใช้ในหูดหงอนไก่ที่ขึ้นบริเวณปากมดลูกหรือภายในช่องคลอดและห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ และการรักษาด้วยวิธีนี้
มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำประมาณ 20%

-ทาด้วยยาโพโดฟิลอก (Podofilox) ชนิด 0.5%

                             ยาทาหูดหงอนไก่
ภาพที่ 8 ยาโพโดฟิลอก
ที่มา : ชลธิรศน์ ศรีเกษตรสรากุล. (2557)

            มีทั้งรูปแบบเจลและครีม ผู้ป่วยสามารถนำมาใช้ทาเองได้
ที่บ้าน วิธีกรใช้ก็คือให้ทาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 วัน แล้วเว้น 4 วัน 
แต่ไม่เกิน 4 รอบ โดยตัวยาจะมีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งเซลล์ ในระหว่างการใช้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองเล็กน้อย (ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ และไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินไป)

-รักษาด้วยการจี้ไฟฟ้า(Electrocauterization)หรือจี้ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ (Laser ablation) 

เพื่อตัดรอยโรคออก ใช้วิธีลดความเจ็บปวดในการรักษาด้วยการฉีดยาชาเฉพาะที่ แพทย์มักใช้รักษาหูดขนาดใหญ่ที่รักษาด้วยวิธีอื่นมาแล้วแต่ไม่ได้ผล แต่มีข้อเสียคือ ควันที่เกิดจากการจี้ในระหว่างการรักษาจะมีเชื้อเอชพีวี (HPV) อยู่ หากสูดดมเข้าไปมาก ๆ ก็อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อเอชพีวีในทางเดินหายใจได้ (การรักษาด้วยวิธีนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำประมาณ 5-50%

-รักษาด้วยการจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy) 

             เป็นการใช้ไม้พันสำลีชุบด้วยไนโตเจนเหลว (Liquid nitrogen) แล้วนำมาป้ายหรือพ่นเป็นสเปรย์ลงที่รอยโรค เพื่อให้ความเย็นสัมผัสรอยโรคเป็นเวลานานประมาณ 10-15 วินาที และต้องระวังอย่าให้ถูกผิวหนังที่ดี ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บปวดบ้างในขณะทำการรักษา แต่เป็นระดับที่สามารถทนได้โดยไม่ต้องใช้ยาชา และภายหลังการรักษาอาจทำให้มีรอยดำได้ การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องทำซ้ำทุก 2 สัปดาห์จนกว่ารอยโรคจะหาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของรอยโรค (วิธีนี้สามารถใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ การรักษาด้วยวิธีนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำประมาณ 20-40%

-รักษาด้วยวิธีการตัดหูดหงอนไก่ออกด้วยมีดผ่าตัด(Surgical excision) 

              โดยจะอาศัยการฉีดยาชาเฉพาะที่ วิธีการรักษานี้เป็นวิธี
ที่ช่วยลดการกลับมาเป็นซ้ำของหูดหงอนไก่ได้มากที่สุด มักใช้ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ หรือในรายที่เป็นหูดหงอนไก่ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงตั้งครรภ์ (วิธีนี้สามารถใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ การรักษาด้วยวิธีนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำประมาณ 
20-40%

-รักษาด้วยการขูดเอาเนื้องอกออก (Curettage)

-หากคู่นอนมีอาการของหูด 

              ควรพามาพบแพทย์และรักษาไปพร้อม ๆ กัน เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อซ้ำไปมาซึ่งกันและกันหลังการรักษา หรือหากไม่แน่ใจว่าเป็นหูดหรือไม่ก็ควรพามาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โอกาสที่จะติดจากทางอื่นนั้นมีน้อยมาก แต่ถ้าผู้อื่นหรือคนในครอบครัวมีรอยโรคที่ต้องสงสัยก็ควรพา
มาพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป 
เพื่อป้องกันการแพร่กระจายสู่คนอื่น ๆ ภายในครอบครัว

ที่มา :
          ชลธิรศน์ ศรีเกษตรสรากุล. (2557)  (2 พฤษภาคม 2556). 
หูดหงอนไก่ หูดอวัยวะเพศ[ออนไลน์].  สืบค้นข้อมูลจาก : http://haamor.com/th/ (วันที่สืบค้นข้อมูล : 20 มิถุนายน 2559).

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น